วันพฤหัสบดีที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ทำความรู้จักกับ "ภูมิศาสตร์"

ภูมิศาสตร์ (geography) คือ ศาสตร์ทางด้านพื้นที่และ
บริเวณต่างๆ บน พื้นผิวโลก เป็นวิชาที่ศึกษาปรากฏการณ์ทาง
กายภาพ และมนุษย์ ที่เกิด ขึ้น ณ บริเวณที่ทำการศึกษา รวม
ไปถึงสิ่งแวดล้อมที่อยู่บริเวณโดยรอบ
นักภูมิศาสตร์อธิบายถึงรูปแบบของการเปลี่ยนแปลงของ
ที่ต่างๆ บนโลก แผนที่ และสัณฐานโลก โดยอธิบายว่ารูปแบบ
การเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้น ได้อย่างไร ภูมิศาสตร์จะทำให้
เข้าใจปัญหาทางด้านกายภาพ และ ฒนธรรม ของบริเวณ
ที่ศึกษา และสิ่งแวดล้อมโดยรอบที่อยู่บนพื้นผิวโลก ภูมิศาสตร์
ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ สถานที่ และสิ่งแวดล้อมโดย
การใช้ข้อมูลทางแผนที่ ในการอธิบายความสัมพันธ์ทางด้าน

พื้นที่ การตั้ง ถิ่นฐานและการอยู่อาศัยของคนแต่ละคน และ
โดยรวมเป็นรากฐานในการ เลือกสถานที่ เพื่อสร้างสังคม
มนุษย์ในดินแดนต่างๆ และมีความสัมพันธ์ กับชีวิตของพืช
และสัตว์ ในการเกิดดำรงชีวิต และการเปลี่ยนแปลง ระบบ
นิเวศวิทยา คนเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ที่มีกิจกรรมต่างๆ
บนพื้นผิวโลก การตั้งถิ่นฐาน ตามโครงสร้างของผิวโลก และ

คนมีการ แข่งขันกันที่จะควบคุมพื้นผิวโลก สิ่งแวดล้อมทาง
กายภาพที่ถูกเปลี่ยน แปลงโดยกิจกรรมของมนุษย์มีผลอย่าง
มากต่อ แนวทางที่เป็นลักษณะ คุณค่าทางสังคมมนุษย์และ
การใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลก และ กิจกรรมของมนุษย์
จะมีอิทธิพลต่อลักษณะ และกระบวนการทางกายภาพของ
โลกความรู้ทางภูมิศาสตร์ทำให้ผู้คนสามารถพัฒนาความ
เข้าใจ ในเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคน สถานที่ และ

สิ่งแวดล้อม ณ เวลาหนึ่ง
โครงสร้างที่สำคัญของวิชาภูมิศาสตร์ ประกอบด้วย
ภูมิศาสตร์ระบบ (Systematic Geography)
ประกอบด้วยเนื้อหาสาระ ทางด้านสภาพแวดล้อมหรือกายภาพ
ส่วนหนึ่ง และบทบาทของมนุษย์ ในการดัดแปลงปรับปรุง
สภาพแวดล้อมอีกส่วนหนึ่ง ทั้งสองระบบย่อยนี้ ต่างมีผล
กระทบต่อกันและกันและแสดงออกมาให้เห็นทางด้านพื้นที่
ในระบบกายภาพ เนื้อหาจะประกอบด้วยส่วนย่อยต่างๆ ที่

รวมกันเป็น ระบบสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ เช่น โครง
สร้างทางธรณี ลักษณะ อากาศ ดิน พืชพรรณ ตลอดจนสัตว์
ต่างๆ แต่ในขณะเดียวกันทั่วไปใน ระดับอุดมศึกษา เช่น
วิชาธรณีสัณฐาน ภูมิศาสตร์เกี่ยวกับดิน อากาศ วิทยา และ
อุทกภูมิศาสตร์ เป็นต้น ส่วนในระบบมนุษย์ ซึ่งในบางครั้งก็
เรียกว่า ระบบสังคม หรือ ระบบวัฒนธรรม ก็ได้นั้น ประกอบ

ด้วยปรากฏ การณ์ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์และความเป็นอยู่ ตลอด
จนปัจจัยต่าง ๆ ที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมาในพื้นที่หนึ่ง และ
กลายเป็นองค์ประกอบที่มี อิทธิพลต่อมนุษย์เอง เนื้อหาสาระ
จึงประกอบด้วยเรื่องราวต่าง ๆ เกือบ ทุกอย่างที่ไม่ใช่สภาพ
แวดล้อมธรรมชาติ เช่น ประชากร ระบบเศรษฐกิจ
การอุตสาหกรรม การปกครอง และการค้า เป็นต้น

ภูมิศาสตร์ภูมิภาค (Regional Geography) คือ
การเข้าถึงระบบสารสน เทศสัมพันธ์ (Spatial
interaction)ด้วยการแบ่งพื้นที่ออกเป็นส่วนๆ ใน
การอธิบายผิวโลกที่มีมนุษย์อาศัยนั้น นักภูมิศาสตร์ใช้วิธีการ

แบ่งพื้นที่ ออกเป็นขนาดต่างๆ กันตามเกณฑ์และวัตถุประสงค์
เกณฑ์ในการกำหนดพื้นที่นั้นมีหลายอย่าง โดยทั่วไปต้อง
รวมเอาปัจจัยทางด้านกายภาพและ วัฒนธรรม เข้าไว้ด้วยกัน
นักภูมิศาสตร์นิยมแบ่งภูมิภาคออกตามระบบอากาศ เช่น
ภูมิภาคเขตร้อนชื้น ภูมิภาคเขตอบอุ่น และภูมิภาคเขตทะเล
ทราย เป็นต้น หรือแบ่งภูมิภาคตามกลุ่มวัฒนธรรม เช่น กลุ่ม

ละติน-อเมริกัน หรือกลุ่มอาหรับ เป็นต้น แต่ที่นิยมกันมาก
คือการแบ่งพื้นที่ศึกษาตามรูปแบบการปกครอง คือ ยึดเอา
เนื้อที่ของประเทศต่างๆ เป็นเกณฑ์ เพราะสะดวกในเรื่อง
ข้อมูลภายในพื้นที่นั้น ในปัจจุบันได้มีการแบ่งภูมิภาคออก
ตามบทบาทหน้าที่เด่นของพื้นที่นั้น เช่น ภูมิภาคของเมือง
หรือ เขตที่เมืองมีอิทธิพลต่อบริเวณรอบนอกตลอดจนเขต
บริการต่าง ๆ อันจัด เป็นภูมิภาคขนาดเล็กแต่ก็มีประสิทธิภาพ
ในการจัดพื้นที่(Hartshorne, 1959)
เทคนิคต่างๆ (Techniques) เนื่องจากวิชาภูมิศาสตร์
เกี่ยวกับการสำรวจ และการบันทึกข้อมูลลงในแผนที่มา ช้านาน
หลักการทำแผนที่ตลอดจน ศิลปะในการจัดรูปแบบข้อมูล
ต่างๆลงในแผนที่ได้กลายเป็น องค์ประกอบ ส่วนหนึ่งของ
ภูมิศาสตร์ เทคนิคทางวิชาภูมิศาสตร์จึงเป็นการคำนวณสร้าง
โครงข่ายแผนที่ในลักษณะต่างๆ ออกมาใช้ตามวัตถุประสงค์

ในขณะเดียว กันก็รักษาคุณสมบัติของผิวโลกที่จำลองไปไว้ใน
แผนที่ให้ใกล้เคียง ความจริงที่สุดด้วย นอกจากประดิษฐ์
แผนที่ด้วยโปรเจกชันแบบต่างๆ แล้ว ยังมีการประดิษฐ์
สัญลักษณ์ในรูปแบบต่าง ๆ ใช้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นกราฟ
กราฟแท่งหรือไดอะแกรม เป็นต้น ในสมัยปัจจุบันได้มีการ
ผนวก เอาเทคนิคทางด้านปริมาณวิเคราะห์เข้ามาไว้ด้วย การ
รู้จักใช้วิชาสถิติ ในลักษณะต่างๆ ประกอบกันกับคอมพิวเตอร์
ได้ช่วยปรับปรุงวิธีการ ทางภูมิศาสตร์ให้เป็นที่เชื่อถือได้ยิ่งขึ้น
เทคนิคประการสุดท้าย คือการนำความรู้ทางด้านภาพถ่าย
ภาพถ่ายทางอากาศ และโทรสัมผัสระยะไกล (Remote
Sensing) มาช่วยการวิเคราะห์ และตีความหมายพื้นที่
ทำได้สะดวกและรวดเร็วขึ้นซึ่งเป็นที่ยอมรับกันทั่วไป

หลักปรัชญา (Philosophy) เนื่องจากวิชาการทุกสาขา
ต้องมีแนวความคิด คือ ความเชื่อในสิ่งที่กระทำ มีหลักการยึดถือ
ปฏิบัติ ภูมิศาสตร์เอง ก็มีแนวความคิดของวิชาเป็นแกน ข้อคิด
อันเป็นแก่นสารของวิชานี้ใน แต่ละสมัยถูกรวบรวมไว้เป็น
กระจกส่องให้ เห็นความเป็นมา ประวัติ ความเป็นมาของวิชา
จึงครอบคลุมเนื้อหาดังกล่าว ในขณะเดียวกัน ประวัติแนว
ความคิดหรือปรัชญาของวิชาก็ค่อย ๆ เจริญงอกงามจาก
การสะสมเพิ่มพูนของแนวความคิดในแต่ละสมัย ส่วนวิธีการ

ก็ได้รับ การขัดเกลาปรับปรุงจนใช้เป็นมาตรฐานในการค้นคว้า
ศึกษา การสร้าง ทฤษฎีหรือกฎเกณฑ์เกี่ยวกับกิจกรรมของ
มนุษย์และสภาพแวดล้อมใน ปัจจุบันกลายเป็นสิ่งสำคัญ
สำหรับวิชาภูมิศาสตร์ (Burge, 1966)

ตัดตอนจาก : ฉัตรชัย พงศ์ประยูร, 2527, “แนวความคิด
ทางภูมิศาสตร์”
ตัดตอนจาก : สมาคมภูมิศาสตร์แห่งประเทศไทย, 2543,
"รวมเว็บไซต์ ข้อมูลทางภูมิศาสตร์"

ภูมิศาสตร์กายภาพ ภูมิศาสตร์มนุษย์

ภูมิศาสตร์กายภาพเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมทางกายภาพของมนุษย์และความสัมพันธ์ของมัน เนื้อหาของวิชาจึงคาบเกี่ยวกับวิชาวิทยาศาสตร์กายภาพหลายวิชาที่สำคัญ ได้แก่ วิชา อุตุนิยมวิทยา อากาศวิทยา สมุทรศาสตร์ ธรณีวิทยา ปฐพีวิทยา นิเวศน์วิทยาของพืช และธรณีสัณฐานวิทยา แต่วิชาภูมิศาสตร์กายภาพมิได้เป็นเพียงการนำเอาเนื้อหาของวิชาวิทยาศาสตร์ กายภาพสาขาต่าง ๆ มารวมกันเท่านั้น แต่ได้นำเอาเนื้อหาเหล่านี้มาผสมผสานกันในแง่ที่เป็นสภาพแวดล้อมที่มี อิทธิพลต่อการดำรงชีวิตของมนุษย์ ในฐานะที่เป็นสาขาหนึ่งในวิชาภูมิศาสตร์ ภูมิศาสตร์กายภาพเน้นความสัมพันธ์ทางพื้นที่ นั่นคือ เน้นการกระจายบนพื้นผิวโลกหรือที่เรียกว่ารูปแบบทางภูมิศาสตร์ (geographic pattern) ของสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากปฏิกิริยาความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของธรรมชาติในบริเวณต่างๆ บนพื้นผิวโลก การศึกษารูปแบบทางภูมิศาสตร์ของสภาพแวดล้อมนี้ จะเป็นการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นแก่นของระบบสภาพแวดล้อมของโลก โครงสร้างและระบบกลไกการทำงานอันเป็นพื้นฐานของธรรมชาติมักถูกลืม เมื่อมนุษย์คำนึงถึงแต่ประโยชน์ที่จะได้เฉพาะหน้า ตัวอย่างเช่น การทำลายพายุเฮอริเคน (ทำให้สลายตัว) ทำให้เกิดผลกระทบไปยังบริเวณอื่นๆอย่างกว้างขวาง เนื่องจากมิได้คำนึงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า พายุนี้แม้จะเป็นอันตราย แต่ก็เป็นส่วนสำคัญของอุทกวักจักร (hydrologic Cycle) ของภูมิภาคบางแห่ง เช่น หมู่เกาะปะการังในมหาสมุทรแปซิฟิกต้องอาศัยฝนที่ได้จากพายุเฮอริเคนเพื่อ รักษาดุลยภาพของสภาพแวดล้อมของปะการัง หรือในการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำอาจจะสนองวัตถุประสงค์บางประการของผู้สร้าง แต่ก็มีผลกระทบอย่างกว้างขวางในด้านต่างๆ
ใน ยุคที่มนุษย์ต้องเผชิญกับสภาพแวดล้อมอย่างหนักเช่นในปัจจุบัน ความเข้าใจโครงสร้างของสภาพแวดล้อมอย่างกว้างๆ รวมทั้งสามารถเชื่อมโยงกลไกการทำงานของขบวนการต่างๆในสภาพแวดล้อมจึงเป็น ประโยชน์อย่างมาก

ตัดตอนจาก ศรีสอาด ตั้งประเสริฐ, 2524, ระบบกายภาพในสภาพแวดล้อม (ภูมิศาสตร์กายภาพ), ภาควิชาภูมิศาสตร์ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย





ภูมิศาสตร์มนุษย์
ภูมิศาสตร์มนุษย์ คือ การศึกษาตัวแปรทางด้านมนุษย์ทั้งหมดที่ปรากฏอยู่บนพื้นที่ว่ามีการกระจายอย่างไร สัมพันธ์กันเองอย่างไร และมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันอย่างไร จนกระทั่งเกิดการจัดรูปแบบในพื้นที่ขึ้นมาและนำไปสู่การอธิบายวางกฎเกณฑ์และเสนอเนื้อหาในลักษณะทฤษฎี (Hagerstrand,1972) ภูมิศาสตร์มนุษย์จึงครอบคลุมเนื้อหาต่างๆ เช่น ภูมิศาสตร์พฤติกรรม เศรษฐกิจ การเมือง การตั้งถิ่นฐาน และยังรวมเอาภูมิศาสตร์ภูมิภาคเข้าไว้ด้วย(Goodall, 1987)

ที่มา : ฉัตรชัย พงศ์ประยูร, 1982, “ศาสตร์ทางพื้นที่ : บทอ่านทางภูมิศาสตร์

แผนที MAP

แผนที่คือสิ่งที่แสดงลักษณะภูมิประเทศของผิวโลกทั้งที่เป็นอยู่
ตาม ธรรมชาติและส่วนที่มนุษย์ปรุงแต่งขึ้น โดยนำมาแสดงลง
ในพื้นราบจะเป็น กระดาษหรือวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งที่แบน
ด้วยการย่อส่วนให้เล็กลงตาม ขนาดที่ต้องการ ซึ่งต้องอาศัย
เครื่องหมาย สัญลักษณ์ ทิศทาง มาตราส่วน
และสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้การอ่านลักษณะภูมิประเทศได้ถูกต้องและ
แม่นยำยิ่ง ขึ้น หรือ “แผนที่คือเครื่องมือที่ดีที่สุดในการใช้ศึกษา
วิชาภูมิศาสตร์ เพราะ ช่วยประหยัดเวลาเปรียบเสมือนเป็นชวเลข
(Short Hand) ที่ยอดเยี่ยม ที่สุดของนักภูมิศาสตร์
และผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ให้ได้ความหมายไว้ว่า “แผนที่คือการนำ
เอาภาพของสิ่งต่างๆ บนพื้นผิวโลกหรือบางส่วนมาย่อ ลงบน
กระดาษหรือวัตถุที่แบนราบตามขนาดที่ต้องการ ซึ่งประกอบ
ด้วยสิ่ง ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นโดย
ใช้สี เส้นและรูปแบบ เป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งเหล่านั้น”
ส่วนแผนผังต่างกับแผนที่ซึ่งมิได้ใส่รายละเอียดทางธรรมชาติ
ลงไปให้ เห็นปรากฏบนกระดาษแบนหรือวัตถุแบน
การอ่านแผนที่ คือ การค้นหารายละเอียดบนภูมิประเทศซึ่ง
รายละเอียด บนภูมิประเทศดังกล่าวนี้หมายถึงสิ่งต่างๆ บน
ผิวพิภพ ที่ปรากฏตาม ธรรมชาติ และสิ่งที่เกิดจากแรงงานของ
มนุษย์ แผนที่ที่ดีที่ทันสมัยย่อม ให้ประโยชน์แก่ผู้ใช้อย่างมาก
ในการหารายละเอียดของภูมิประเทศแบบ ต่างๆ ข้อสำคัญ
ผู้อ่านจะต้องทราบ มีดังต่อไปนี้ เครื่องหมายที่ใช้แทนลักษณะ
ภูมิประเทศหรือสีที่ใช้เป็นสัญลักษณ์
ลักษณะภูมิประเทศ
กริด และอาซิมุทส์
มาตราส่วน และทิศทาง
เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจสิ่งที่ปรากฏขึ้นตาม
ธรรมชาติ และ กิจกรรมของมนุษย์ได้ชัดเจนขึ้น การอ่าน
แผนที่เป็นเรื่องที่ไม่ยากนัก สิ่งที่ จะต้องจดจำก็คือ คำตอบ
ถูกต้องโดยสมบูรณ์หรือผิดโดยสิ้นเชิง ตามความ หมายของ
แผนที่ที่กำหนดขึ้นจะช่วยให้เข้าใจได้โดยอัตโนมัติ ในเมื่อมี
ความรู้ที่จะอ่านได้
การแบ่งชนิดของแผนที่ ถ้าจะนับแผนที่ที่ใช้กันทั้งหมดมีเป็น
ร้อยชนิด โดยทั่วไปแบ่งเป็น 3 ชนิด คือ
1. แผนที่แบบแบน (Planimetric Maps) คือ
แผนที่ที่แสดงพื้นผิวของโลก ในทางราบ ไม่แสดงความสูง
ไว้ให้ประโยชน์มากในการใช้แสดงตำแหน่ง
หาระยะในทางราบและเส้นทาง
2. แผนที่ภูมิประเทศ (Topographic Maps)
คือแผนที่แสดงพื้นผิวโลกให้ เห็นความสูงต่ำด้วย ให้คุณ
ประโยชน์กว่าแบบแบน แต่เสียเวลาและแรงงาน ในการจัด
ทำมาก แผนที่แบบนี้มีรายละเอียด เช่นเดียวกับแผนที่แบบแบน
3. แผนที่ภาพถ่าย (Photo Maps) คือผลิตผลจาก
ภาพถ่ายทางอากาศ หรือโมเซค (Mosaic) ซึ่งมีเส้น
โครงพิกัด นามศัพท์และรายละเอียดประจำ ขอบระวาง
ประกอบไว้ด้วย แผนที่แบบนี้ให้คุณประโยชน์มาก สามารถ
ถ่าย ทำได้รวดเร็ว แต่มีความยากในการอ่าน และไม่สามารถ
สังเกตหาความสูง ต่ำของภูมิประเทศได้โดยชัดเจน ต้อง
ใช้กล้องกระจกหรือแว่นขยาย ประกอบการดูจะเห็น
ภาพสามมิติชัดเจน

ตัดตอนจาก ทวี ทองสว่าง และคณะ, 2537,
การอ่านแผนที่และภาพถ่ายทางอากาศ,
สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง

ระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ (GIS)

GIS (Geographic Information System) หรือ ระบบสารสนเทศ
ทาง ภูมิศาสตร์ “…เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิง
พื้นที่ (Spatial Context) โดยข้อมูลลักษณะต่างๆใน
พื้นที่ที่ทำการศึกษา จะถูกนำมาจัด ห้อยู่ในรูปแบบที่มีความ
สัมพันธ์เชื่อมโยงซึ่งกันและกัน ซึ่งจะขึ้นอยู่กับชนิด
และรายละเอียดของข้อมูลนั้นๆ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
ตามต้องการ"
ขบวนการในการวิเคราะห์ข้อมูลใน GIS แบ่งออกเป็น
2 รูปแบบ คือ
1. Manual Approach เป็นการนำข้อมูลใน
รูปแผนที่หรือลายเส้นต่างๆถ่าย ลงบนแผ่นใส แล้วนำมาซ้อน
ทับกัน ที่เรียกว่า “overlay techniques” ในแต่
ละปัจจัย เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ แต่วิธีการนี้มีข้อจำกัด
ในเรื่องของ จำนวนแผ่นใสที่จะนำมาซ้อนทับกัน ทั้งนี้เนื่อง
จากความสามารถในการ วิเคราะห์ด้วยสายตา
(Eye Interpretation) จะกระทำได้ในจำนวน
ของแผ่นใสที่ค่อนข้างจำกัด และจำเป็นต้องใช้เนื้อที่และวัสดุ
ในการเก็บ ข้อมูลค่อนข้างมาก
2. Computer Assisted Approach
เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปของตัวเลขหรือดิจิตอล (digital)
โดยการเปลี่ยนรูปแบบของข้อมูลแผนที่หรือลายเส้นให้อยู่ใน
รูปของตัวเลขแล้วทำ การซ้อนทับกันโดยการนำหลักคณิต
ศาสตร์และตรรกศาสตร์เข้ามาช่วย วิธีการนี้จะช่วยให้ลดเนื้อที่
ในการเก็บ ข้อมูลลงและสามารถเรียกแสดงหรือทำ การวิเคราะห์
ได้โดยง่าย หัวใจที่สำคัญของระบบ GIS คือ ข้อมูลด้านเชิง
พื้นที่ (Spatial Data) ซึ่ง จะถูกนำเข้าระบบด้วย
การแปลงให้อยู่ในรูปของ Vector โดยเครื่องมือนำ
เข้า Digitizer ซึ่งข้อมูลจะมีความสัมพันธ์กันในเชิง
ตำแหน่งเช่นเดียวกับ ที่อยู่ในแผนที่ การจัดเก็บข้อมูลใน
ลักษณะ Vector มีข้อดีในแง่การ ประหยัดเนื้อที่การจัดเก็บ
และการขยายภาพให้ใหญ่บนจอภาพโดยยัง
แสดงความคมชัดเหมือนเดิม การเก็บข้อมูลในเชิงพื้นที่
สามารถออก แบบการจัดเก็บตามประโยชน์การใช้สอย โดย
แบ่งเป็นชั้น (Layer) ต่าง ๅ เช่น ถนน, แม่น้ำ, ลักษณะ
ชั้นดิน, ลักษณะชั้นบรรยากาศ ฯลฯ เมื่อต้องการทำการวิเคราะห์
ข้อมูล ผู้ใช้สามารถที่จะเลือกข้อมูลเชิงพื้นที่ชั้นต่างๆ
ที่ต้องการมาซ้อนทับกัน (Overlay) โดยกำหนดเงื่อนไข
ที่ต้องการเข้า ไปในระบบ ระบบ GIS จะแสดงพื้นที่หรือจุด
ที่ตั้งของสถานที่ที่ผู้ใช้ต้อง การ บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งจะ
แสดงด้วยความเข้มของสีที่แตกต่างกัน ให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจได้
ง่าย นอกจากระบบ GIS จะจัดเก็บข้อมูลเชิง พื้นที่ เช่น
แผนที่แสดงการใช้ที่ดิน ฯลฯ แล้วระบบยังสามารถจัดเก็บข้อมูล
ที่ไม่ใช่เชิงพื้นที่โดยให้มีความสัมพันธ์ กับข้อมูลเชิงพื้นที่ ได้แก่
ข้อมูล สดงคุณลักษณะต่างๆ (Attribute Data)
เช่น ข้อมูลด้านประชากร,ข้อมูลรายละเอียดลูกค้า เป็นต้น
ซึ่งการจัดเก็บข้อมูลทั้งหมดจะอยู่ในรูปฐานข้อมูลเดียว
(Relational Database) ทำให้การจัดเก็บข้อมูลไม่
ซ้ำซ้อน และง่ายต่อการเรียกใช้ข้อมูลนั้นๆ
โดยสรุปแล้ว ข้อมูลในระบบ GIS ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ
Graphic หรือ Spatial Data (ข้อมูลเชิงภาพ)
แบ่งลักษณะของ graphic
ได้เป็น feature 3 ประเภท คือ
Point feature 1 (จุด) ใช้อ้างอิงถึงตำแหน่งที่ตั้งของ
สิ่งต่างๆ ในแผนที่ เช่น ที่ตั้งของบ่อน้ำ ที่ตั้งของเสาไฟ
Line feature (เส้น) เป็นจุดของชุดที่เรียกต่อกัน โดย
ใช้แทนลักษณะที่ เป็นเส้น เช่น แม่น้ำ, ถนน
Polygon feature (พื้นที่รอบรูปปิด) เป็นเส้นรอบ
รูปปิด ใช้แทนลักษณะ ที่เป็น หรือพื้นที่ เช่น พื้นที่ป่า ขอบเขต
การปกครอง : ประเทศ จังหวัด อำเภอ ตำบล
Non graphic หรือ Assrobite Data เป็น
ข้อมูลบอกคุณลักษณะต่างๆของ
feature เช่น ชื่อถนน ความกว้างของถนน
ส่วนประกอบของระบบ GIS มีดังนี้
ฮาร์ดแวร์ (Hard ware) : คอมพิวเตอร์ ใช้เก็บประ
มวลผลและแสดงผล ข้อมูลแผนที่
ซอร์ฟแวร์ (GIS Soft ware) ควรจะต้องมีคุณสมบัติ
ดังต่อไปนี้ คือ
สามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลที่เป็น graphic
และ attribute สามารถเพิ่มเติม แก้ไขข้อมูล และเรียกดึง
ข้อมูลมาใช้ได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว อีกทั้งมีความสามารถใน
การวิเคราะห์ข้อมูล และแสดงผลข้อมูล ในรูปที่เข้าใจได้ง่าย
เช่น รายงาน ตาราง หรือ แผนที่ ข้อมูลนำเข้า (Data)
ข้อมูลเหล่านี้อาจอยู่ในรูปของแผนที่ เลข (Digital
Map Data) หรือได้จากข้อมูลหรือไฟล์ (file)
จากงานสำรวจภาคสนาม (ground survey) หรือ
ข้อมูลนี้ได้จากโปรแกรมอื่น รวมทั้งข้อมูลที่ได้จาก
ภาพถ่ายดาวเทียมและภาพถ่ายทางอากาศขั้นตอนการทำงาน
(procedure) ประกอบด้วย ขั้นตอนการเตรียมข้อมูล
นำเข้า แก้ไข วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลบุคลากร (Staff
และ Expertise) จะต้องเป็นบุคลากรที่มีความรู้ใน
ระบบ GIS สาเหตุ ที่ทำให้ระบบ GIS ได้รับความนิยมมาก
ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะระบบ GIS มีข้อได้เปรียบมากกว่าการใช้
แผนที่ในเรื่อง การจัดเก็บข้อมูลในเชิงพื้นที่ให้ทันสมัยอยู่เสมอ
รวมถึงการรวมข้อมูลในเชิงพื้นที่ทั้ง หมดให้ให้อยู่ในลักษณะฐาน
ข้อมูลเดียว ซึ่งทำให้มีประโยชน์ในแง่การ วิเคราะห์ข้อมูลใน
รูปแบบต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องของ ะยะเวลา
และต้นทุนในการจัดทำ ตัวอย่างจะเห็นได้จากเมื่อผู้บริหารทำ
การวางแผนด้านพื้นที่ ระบบ GIS ช่วยในการวิเคราะห์พื้นที่
ในหลายรูป แบบสำหรับแผนงานที่ต่างๆ กัน เพื่อตอบคำถาม
(what-if question) และ ช่วยในการผลิตเอกสาร
อ้างอิงได้ในขณะที่การทำวิเคราะห์แบบดั้งเดิมต้อง
ใช้ ระยะเวลานานและเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นระบบ GIS
จึงได้กลายเป็น เครื่องมือสำคัญเพื่อช่วยผู้บริหารในการตัดสิน
ใจในด้านการ บริหารสภาพ แวดล้อมและทรัพยากรที่มีอยู่ให้
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่ สุด

ตัดตอนจาก สุระ พัฒนเกียรติ, หลักเบื้องต้น ระบบสาร
สนเทศทางภูมิศาสตร์ ในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมตัดตอนจาก Magazine
"Toward Intelligent banking"

รีโมทเซ็นซิง (Remote Sensing)

การ วางแผนการบริหารทรัพยากรธรรมชาติและสภาพแวดล้อมอย่างมี
ประสิทธิภาพ จำเป็นต้องรู้ถึงข้อมูลข้อเท็จจริงของทรัพยากรธรรมชาติ
ในสภาวการณ์ปัจจุบัน รีโมทเซนซิงเป็นวิทยาการด้านหนึ่งที่สามารถนำ
มาใช้ในการสำรวจข้อมูลที่ให้ รายละเอียดเกี่ยวกับสภาพปัจจุบันและการ
เปลี่ยนแปลงอย่างประหยัดและรวดเร็ว อันเป็นประโยชน์ในการวิเคราะห์และ
วางแผนแก้ปัญหาในการจัดการทรัพยากรและสภาพ แวดล้อม

รีโมทเซนซิง หมายถึง การบันทึกหรือการได้มาซึ่งข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับวัตถุ
พื้นที่เป้าหมายด้วยอุปกรณ์บันทึกข้อมูล (sensor) โดยปราศจากการสัมผัส
กับวัตถุนั้นๆ ซึ่งอาศัยคุณสมบัติของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเป็นสื่อในการได้มา
ของข้อมูลใน 3 ลักษณะ คือ ช่วงคลื่น (spectral) รูปทรงสัณฐาน (spatial)
และการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา (temporal) ของสิ่งต่างๆ บนพื้นผิวโลก

ระบบรีโมทเซนซิง ถ้าแบ่งตามแหล่งกำเนิดพลังงานที่ก่อให้เกิดคลื่นแม่เหล็ก
ไฟฟ้า มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ

Passive remote sensing เป็นระบบที่ใช้กันกว้างขวางตั้งแต่เริ่มแรกจนถึง
ปัจจุบัน โดยมีแหล่ง พลังงานที่เกิดตามธรรมชาติ คือ ดวงอาทิตย์เป็นแหล่ง
กำเนิดพลังงาน ระบบนี้จะรับและบันทึกข้อมูลได้ ส่วนใหญ่ในเวลากลางวัน
และมีข้อจำกัดด้านภาวะอากาศ ไม่สามารถรับข้อมูลได้ในฤดูฝน หรือเมื่อมี
เมฆ หมอก ฝน

Active remote sensing เป็นระบบที่แหล่งพลังงานเกิดจากการสร้างขึ้นใน
ตัวของเครื่องมือสำรวจ เช่น ช่วงคลื่นไมโครเวฟที่สร้างในระบบเรดาห์ แล้ว
ส่งพลังงานนั้นไปยังพื้นที่เป้าหมาย ระบบนี้ สามารถทำการรับและบันทึกข้อ
มูล ได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านเวลา หรือ ด้านสภาวะภูมิอากาศ คือสามารถรับ
ส่งสัญญาณได้ทั้งกลางวันและกลางคืน อีกทั้งยังสามารถทะลุผ่านกลุ่มเมฆ
หมอก ฝนได้ในทุกฤดูกาล

ในช่วงแรกระบบ passive remote sensing ได้รับการพัฒนามาก่อน และยัง
คงใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ส่วนระบบ active remote sensing มีการ
พัฒนาจากวงการทหาร แล้วจึงเผยแพร่เทคโนโลยีนี้ต่อกิจการพลเรือนใน
ช่วงหลัง การสำรวจในด้านนี้ได้รับความสนใจมากขึ้นโดยเฉพาะกับประเทศ
ในเขตร้อนที่มีปัญหาเมฆ หมอก ปกคลุมอยู่เป็นประจำ

การวิเคราะห์ข้อมูล (data analysis)ภาพถ่ายดาวเทียม ประกอบด้วยวิธีการ
ดังต่อไปนี้

1) การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยสายตา (visual interpretation) เป็นการแปลตี
ความจากลักษณะองค์ประกอบของภาพ โดยอาศัยการพิจารณาปัจจัยด้าน
ต่างๆ ได้แก่ สี (color, shade, tone) เงา (shadow) รูปทรง (fron) ขนาด
ของวัตถุ (size) รูปแบบ (pattern) ลวดลายหรือ ลักษณะเฉพาะ (texture)
และองค์ประกอบทางพื้นที่ (spatial components) ซึ่งเป็นหลักการตีความ
เช่นเดียวกับการแปลภาพถ่ายทางอากาศ

2) การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ (digital analysis and image
processing) เป็นการตีความ ค้นหาข้อมูลส่วนที่ต้องการ โดยอาศัยหลักการ
ทางคณิตศาสตร์และสถิติ ซึ่งการที่มีข้อมูลจำนวนมาก จึงไม่สะดวกที่จะทำ
การคำนวณด้วยมือได้ ดังนั้นจึงมีการนำคอมพิวเตอร์มาใช้ ช่วยให้รวดเร็ว
ในการประมวลผล มีวิธีการแปลหรือจำแนกประเภทข้อมูลได้ 2 วิธีหลัก คือ

การแปลแบบกำกับดูแล (supervised classification) หมายถึง การที่ผู้แปล
เป็นผู้กำหนดตัวอย่างของประเภทข้อมูลให้แก่คอมพิวเตอร์ โดยใช้การเลือก
พื้นที่ตัวอย่าง (traning areas) จากความรู้ด้านต่างๆเกี่ยวกับพื้นที่ศึกษา
รวมทั้งจากการสำรวจภาคสนาม

การแปลแบบไม่กำกับดูแล (unsupervised classification) เป็นวิธีการที่ผู้
แปลกำหนดให้คอมพิวเตอร์แปลข้อมูลเอง โดยใช้หลักการทางสถิติ เพียง
แต่ผู้แปลกำหนดจำนวน ประเภทข้อมูล (classes) ให้แก่เครื่อง โดยไม่ต้อง
เลือกพื้นที่ตัวอย่างให้ ผลลัพธ์จากการแปลจะต้องมีการตรวจสอบความถูก
ต้องและความน่าเชื่อถือ ก่อนนำไปใช้งานโดยการเปรียบเทียบกับสภาพจริง
หรือข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ โดยวิธีการทางสถิติ

คุณสมบัติของภาพจากดาวเทียมสำรวจทรัพยากร
การบันทึกข้อมูลเป็นบริเวณกว้าง (Synoptic view) ภาพจากดาวเทียมภาพ
หนึ่งๆ ครอบคลุมพื้นที่กว้างทำให้ได้ข้อมูลในลักษณะต่อเนื่องในระยะเวลา
บันทึกภาพสั้นๆ สามารถศึกษาสภาพแวดล้อมต่างๆ ในบริเวณกว้างขวางต่อ
เนื่องในเวลาเดียวกันทั้นภาพ เช่น ภาพจาก LANDSAT MSS และ TM หนึ่ง
ภาพคลุมพื้นที่ 185X185 ตร.กม. หรือ 34,225 ตร.กม. ภาพจาก SPOT คลุม
พื้นที่ 3,600 ตร.กม. เป็นต้น

การบันทึกภาพได้หลายช่วงคลื่น ดาวเทียมสำรวจทรัพยากรมีระบบกล้อง
สแกนเนอร์ ที่บันทึกภาพได้หลายช่วงคลื่นในบริเวณเดียวกัน ทั้งในช่วงคลื่น
ที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า และช่วงคลื่นนอกเหนือสายตามนุษย์ ทำให้แยกวัตถุ
ต่างๆ บนพื้นผิวโลกได้อย่างชัดเจน เช่น ระบบ TM มี 7 ช่วงคลื่น เป็นต้น

การบันทึกภาพบริเวณเดิม (Repetitive coverage) ดาวเทียมสำรวจทรัพ
ยากรมีวงโคจรจากเหนือลงใต้ และกลับมายังจุดเดิมในเวลาท้องถิ่นอย่าง
สม่ำเสมอและในช่วงเวลาที่แน่นอน เช่น LANDSAT ทุก ๆ 16 วัน MOS
ทุกๆ 17 วัน เป็นต้น ทำให้ได้ข้อมูลบริเวณเดียวกันหลายๆ ช่วงเวลาที่ทัน
สมัยสามารถเปรียบเทียบและติดตามการเปลี่ยนแปลงต่างๆ บนพื้นผิวโลก
ได้เป็นอย่างดี และมีโอกาสที่จะได้ข้อมูลไม่มีเมฆปกคลุม

การให้รายละเอียดหลายระดับ ภาพจากดาวเทียมให้รายละเอียดหลายระดับ
มีผลดีในการเลือกนำไปใช้ประโยชน์ในการศึกษาด้านต่างๆ ตามวัตถุ
ประสงค์ เช่น ภาพจากดาวเทียม SPOT ระบบ PLA มีรายละเอียด 10 ม.
สามารถศึกษาตัวเมือง เส้นทางคมนาคมระดับหมู่บ้าน ภาพสีระบบ MLA
มีรายละเอียด 20 ม. ศึกษาการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เฉพาะจุดเล็กๆ และแหล่ง
น้ำขนาดเล็ก และภาพระบบ TM รายละเอียด 30 ม. ศึกษาสภาพการใช้
ที่ดินระดับจังหวัด เป็นต้น

ภาพจากดาวเทียมสามารถให้ภาพสีผสม (False color composite) ได้
หลายแบบ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ที่ต้องการขยายรายละเอียดเฉพาะเรื่อง
ให้เด่นชัดเจน สามารถจำแนกหรือมีสีแตกต่างจากสิ่งแวดล้อม

การเน้นคุณภาพของภาพ (Image enhancement) ภาพจากดาวเทียม
ต้นฉบับสามารถนำมาปรับปรุงคุณภาพให้มีรายละเอียดเพิ่มขึ้น โดยการ
ปรับเปลี่ยนค่าความเข้ม ระดับสีเทา เพื่อเน้นข้อมูลที่ต้องการศึกษาให้
เด่นชัดขึ้น


ตัดตอนจาก สำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์
เทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อม, 2538, "จากห้วงอวกาศสู่พื้นแผ่นดินไทย
ฉบับย่อ", โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว

ตัดตอนจาก ศุทธินี ดนตรี, 2542, "ความรู้พื้นฐานด้านการสำรวจระยะไกล"

ระบบกำหนดตำแหน่งบนพื้นโลก (GPS)

GPS ย่อมาจาก Global Positioning System ซึ่งถ้าแปลให้ตรงตัวแล้วคือ
"ระบบกำหนดตำแหน่งบน
พื้นที่โลก"ระบบนี้ได้พัฒนาขึันโดยกระทรวง
กลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดทำโครงการ Global Positioning
System มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2521 โดยอาศัยดาวเทียมและระบบวิทยุนำร่อง
เป็นพื้นฐานในการกำหนดตำแหน่งค่าพิกัดของเครื่องรับ(Receiver) ซึ่ง
เมื่อเสร็จสิ้นโครงการจะมีจำนวนดาวเทียมทั้งหมดถึง 24 ดวง พร้อมด้วย
สถานีควบคุมภาคพื้นดิน เพื่อให้ระบบ GPS สามารถที่จะทำงานได้ทุก
สภาวะและตลอด 24 ชั่วโมงลักษณะการทำงานในการกำหนดค่าพิกัดของ
ระบบGPS ทำได้ด้วยการนำเครื่องรับไปยังตำแหน่งที่ต้องการจะทราบค่า
พิกัดจากนั้นเครื่องรับจะรอสัญญาณจากดาวเทียม เมื่อเครื่องรับได้สัญ
ญาณจากจำนวนดาวเทียมที่เพียงพอก็จะประมวลสัญญาณจากดาวเทียม
และจะประมวลผลสัญญาณข้อมูลที่ได้จากดาวเทียมและแสดงผลออกมา
เป็นค่าพิกัดของตำแหน่งเครื่องรับ ซึ่งจะเสร็จสิ้นในระยะเวลาที่รวดเร็วมาก
เมื่อเที่ยบกับการรังวัดในแบบเดิม
ความถูกต้องของค่าพิกัดที่ได้จากระบบ GPS จะขึ้นอยู่กับความสามารถ
ของอุปกรณ์เครื่องรับซึ่งอาจจะมีความถูกต้องได้ ตั้งแต่ 1 เซนติเมตร ไป
จนถึง 300 เมตรที่เดียว โดยที่กระทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา ยัง
สามารถที่จะลดค่าความถูกต้องของเครื่องรับได้อีกด้วยการส่ง ค่าSelective
Availability(SA) ออกมาเพื่อทำให้การคำนวนค่าพิกัดลดความคลาด
คลื่อนนอกจากนั้นยังใช้วิธี
Differential Correction ทำให้ค่าพิกัดถูกต้องใน
ช่วง 1 - 5 เมตรเท่านั้น เนื่องจากการที่ระบบ GPS
สามารถจัดเก็บค่าพิกัดได้
อย่างรวดเร็ว มีความถูกต้องสูง และทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงจึงมีการนำ

ระบบ GPS ไปใช้งานในด้านต่างๆอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงาน
ด้านแผนที่ และงานด้านการสำรวจ ทำให้ระบบ GPS มีความสำคัญมาก

ดาวเทียมที่ใช้สำรวจด้วยระบบ GPS ปัจจุบันมีทั้งหมด 24 ดวง ตามที่กระ
ทรวงกลาโหม ประเทศสหรัฐอเมริกา กำหนดไว้ในโครงการGPS ดาวเทียม
ทั้งหมดจะโคจรครอบคลุมพื้นที่ทั่วทั้งโลก การที่เครื่องรับ
สัญญาณจะ
สามารถกำหนดค่าพิกัด(X,Y) จะต้องได้รับสัญญาณดาวเทียมอย่างน้อย
3 ดวงขึ้นไป ถ้ารับได้ 4 ดวงก็จะสามารถกำหนดค่าพิกัด(X,Y) พร้อมทั้ง
ค่าความสูง(Z) ของตำแหน่งนั้นได้ด้วย


ตัดตอนจาก เอกสารแนะนำGPS บริษัทอีเอสอาร์ไอร์(ประเทศไทย)จำกัด

วันพุธที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2551

หน่วยการเรียนรู้สาระภูมิศาสตร์

1. การศึกษาภูมิศาสตร์ด้วยภาพถ่ายดาวเทียม
1.1 ภูมิศาสตร์เบื้องต้น
1.2 ภูมิศาสตร์ภาคเหนือ
1.3 ภูมิศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
1.4 ภูมิศาสตร์ภาคกลาง
1.5 ภูมิศาสตร์ภาคตะวันออก
1.6 ภูมิศาสตร์ภาคตะวันตก
1.7 ภูมิศาสตร์ภาคใต้
2. เทคโนโลยีการสำรวจสิ่งแวดล้อมทางภูมิศาสตร์
3. สถานการณ์สิ่งแวดล้อมในภาวะปัจจุบัน
4. เทคโนโลยีการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม